จากรายงานข่าวได้เปิดเผยง่า ทางไต้หวัน ได้มีการเตือนอย่างเป็นทางการออกมาแล้ว ว่าห้ามมิให้ผู้ใดลักลอบนำเข้าเนื้อหมูจากประเทศไทย หากฝ่าฝืนจะโดนปรับหนัก 2.4 แสนบาท
รายงานข่าวที่เกี่ยวพันจากสำนักข่าวต่างประเทศ ได้รายงานว่า ไต้หวันประกาศอย่างเป็นทางการ ลงโทษปรับผู้ที่ลักลอบนำเข้าเนื้อหมูจากไทย มากกว่า 2 แสนบาท หลังทางการไทยยืนยันพบหมูติดเชื้อ "อหิวาต์แอฟริกาในสุกร"
หมูแพงกระทบส่งออก ไต้หวันสั่งปรับ 2.4 แสน หากลักลอบนำเข้าหมูไทย
ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินกลาง (ซีอีโอซี) ด้านโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (เอเอสเอฟ) ของไต้หวัน ประกาศเมื่อวันอังคาร ว่า ผู้ใดที่ลักลอบนำเข้าเนื้อหมูหรือผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูจากประเทศไทยเข้ามา จะถูกปรับเป็นเงินอย่างน้อย 200,000 ดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 240,000 แสนบาท ภายหลังจากมีการยืนยันว่าพบโรคดังกล่าวในไทย
นอกจากนั้น ผู้ที่ถูกจับได้ว่ากระทำผิดซ้ำ จะถูกปรับสูงสุดถึง 1 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือ ประมาณ 1.2 ล้านบาท
ส่วนคนที่จะเดินทางเข้ามาในไต้หวัน หากถูกจับได้ที่สนามบินหรือท่าเรือว่า ลักลอบนำเนื้อหมูจากไทยมาด้วยก็จะต้องจ่ายค่าปรับ มิเช่นนั้นจะถูกห้ามเข้าดินแดน
ความเคลื่อนไหวของ "ซีอีโอซี" มีขึ้นหลังจากที่ กรมปศุสัตว์ของประเทศไทยออกมายืนยันเป็นครั้งแรกว่า พบเชื้อหิวาต์แอฟริกาในสุกร ในตัวอย่าง 1 จาก 309 ตัวอย่างที่เก็บมาจากฟาร์ม 10 แห่งกับโรงฆ่าสัตว์อีก 2 แห่งใน จ.ราชบุรีแล้วก็นครปฐม
ทั้งนี้ ไต้หวันตรวจพบเชื้อในกุนเชียงที่นำเข้าจากไทย โดยตัวอย่างได้รับการตรวจยืนยันแล้วถึง 3 ครั้ง ในช่วงธันวาคมถึงมกราคมนี้
หมูไทยติดอหิวาต์แอฟริกาอื้อซ่า
จากข่าวที่เผยว่า เจ้าของฟาร์มหมูที่สิงห์บุรี ได้ขุดซากหมูในฟาร์มที่ตายตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ไปตรวจ ASF ล่าสุด ผลออกแล้วว่าเป็น ASF จริง อย่างนี้ใครต้องรับผิดชอบ
เจ้าของฟาร์มหมูสิงห์บุรี พ้อหมูติดโรค ASF ตายกว่า 2,000 ตัว รับที่ยังไม่ตายต้องรีบขายราคาถูก ปล่อยไว้อาจตายหมดขายไม่ได้ ระบุ จะไม่กลับมาเลี้ยงหมูอีกแล้ว พร้อมเปิดหน้าชน ขุดหลุมฝังกลบเก็บซากส่งตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล ลั่น รัฐต้องยอมรับความจริงว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อ ASF ในไทย ปกปิดข้อมูลเอื้อประโยชน์ใครหรือไม่
วานนี้ วันที่ 10 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ฟาร์มหมูแห่งหนึ่งในอำเภอพรหมบุรี สิงห์บุรี เป็นฟาร์มขนาดใหญ่เนื้อที่เกือบ 400 ไร่ เลี้ยงหมูกว่า 20,000 ตัว ตายไปประมาณ 2,000 ตัว ทั้งหมูขนาดเล็กใหญ่ ทุกขนาดอายุ ทุกขนาดกิโล แล้วก็หมูแม่พันธุ์ เสียหายกว่า 100 ล้านบาท หมูที่ยังไม่ตาย ต้องรีบขายในราคาถูก เพราะถ้าเกิดว่าปล่อยไว้หมูอาจตายหมด ส่วนหมูที่ยังไม่ตายเริ่มทยอยตายเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.2564 จึงได้ขุดหลุมทำลายซากด้วยการฝังกลบในที่เหมาะสมภายในฟาร์ม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ขณะนี้ฟาร์มดังกล่าวแล้วก็โรงเรือนเลี้ยงหมูกลายเป็นฟาร์มร้าง นายพัฒนพงศ์ การุณยศิริ หรือ ‘เฮียบุ๊ง’ เจ้าของฟาร์มหมูรายใหญ่ของ จ.สิงห์บุรี เผยว่า ช่วงนี้นได้จ้างแล็บบริษัทเอกชนเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจ แล้วก็ต่อมาแล็บเอกชนแจ้งกับเจ้าของฟาร์มว่าผลเป็นบวก หมูที่ตายติดโรค ‘อหิวาต์แอฟริกาในสุกร’ (ASF) 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ออกเอกสารรับรองผลตรวจให้ว่าหมูตายด้วยโรคอหิวาห์แอฟริกาในสุกร (ASF) โดยอ้างว่ากลัวเอกสารหลุด ไม่อยากจะมีปัญหากับกรมปศุสัตว์
อหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF)
‘เฮียบุ๊ง’ กล่าวว่า เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจว่าหมูในฟาร์มแห่งนี้ตายด้วยโรคอหิวาห์แอฟริกาในสุกร (ASF) หรือไม่ แม้จะมีผลตรวจจากแล็บบริษัทเอกชนยืนยันแล้วก็ตาม ตนได้ให้นำรถแบ็คโฮ มาขุดหลุมที่ฝังกลบซากหมู เพื่อเก็บชิ้นส่วนเนื้อ ไขกระดูกหมูแม่พันธุ์ที่ป่วยตาย ส่งไปตรวจที่หน่วยชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระบุว่าต้องเก็บอวัยวะภายใน เช่น ตับ ม้าม ปอด ลำไส้ ส่งตรวจ แต่เนื่องจากซากหมูที่ตายฝังกลบนาน 4 เดือน ทำให้อวัยวะดังกล่าวย่อยสลาย จึงต้องเก็บชิ้นส่วนเนื้อแล้วก็ไขกระดูก ส่งตรวจหาเชื้อโรค ASF แทน น่าจะทราบผลภายใน 2 วัน (ส่งตรวจเมื่อวันที่ 10 ม.ค.) นายพัฒนพงศ์ เจ้าของฟาร์มหมู เล่าว่า หมูในฟาร์มเริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่เดือน ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา สภาพมีไข้อุณหภูมิสูง 43 องศา จนเส้นเลือดฝอยแตก หนังแล้วก็ลำตัวแดงแล้วก็เริ่มทยอยล้มตาย ตรวจเลือดกับแล็บพบว่าตายด้วยโรค ASF อย่างรุนแรง จึงรีบนำหมูที่ตายไปทำลายฝังกลบ แล้วก็ทยอยตายเพิ่มอีก ตนตัดสินใจนำหมูที่แสดงอาการใกล้ตายแล้วก็ตายไปแล้วทิ้งทั้งหมด ช่วงนั้นขนทิ้งแทบจะไม่ทัน
สำหรับหมูที่ยังไม่ตาย ต้องใช้เวลา 40 วัน ขนออกจากฟาร์มนำไปขายถูกๆ หมูอนุบาล ขายกิโลกรัมละ 7-8 บาท ,หมูขุน ขายกิโลกรัมละ 15-30 บาท, หมูแม่พันธุ์ ขายกิโลกรัมละ 5-13 บาท เพราะถ้าเกิดว่าเก็บไว้โรคคงแพร่ระบาดตายหมดทั้งฟาร์ม อาจสร้างความเสียหาย 50-70 เปอร์เซ็นต์ “ช่วงนั้น ขายไปตายไป จากนี้ตนจะไม่กลับมาเลี้ยงหมูอีกแล้ว” เฮียบุ๊งกล่าว
“โรค ASF ในสุกร เป็นแล้วไม่หาย เพราะไม่มียารักษา แล้วก็ป้องกันยากเพราะไม่มีวัคซีน เป็นแล้วก็เป็นอีก ทุกคนปิดข่าว วันที่ราคาเนื้อหมูแพงทุกอย่างจึงถูกเปิดเผยออกมา ถ้าเกิดว่าหมูราคาถูก ไม่มีใครเปิดเผยหรอกเพราะผู้บริโภคไม่เดือดร้อนตอนนี้ผู้บริโภคเดือดร้อนมาก แล้วก็ต้องเดือดร้อนไปอีกยาวนาน เพราะการบริหารผิดพลาดของปศุสัตว์”
เฮียบุ๊ง กล่าวด้วยว่า การที่รัฐไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงว่ามีการระบาดของโรค ASF ในสุกรในประเทศไทย ตนไม่รู้ว่าเอื้อประโยชน์ใครหรือไม่ ผู้มีเงินมีอำนาจเท่านั้นถึงจะทำได้ เกษตรกรธรรมดาทำไม่ได้ ฟาร์มทั่วไปกว่า 70 เปอร์เซ็นของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรล่มจม หมดสิ้นเนื้อประดาตัว เกษตรกรเขาอยู่ไม่ได้ การแพร่ระบาดของโรค ASF ครั้งนี้เสียหายมหาศาล เป็นเพราะการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ แม้วันนี้จะสายไปก็ต้องยอมรับความจริง
ติดตามสาระความรู้และเนื้อหาข่าวทันเหตุการณ์ได้จากกระดานข่าวเราที่ azrip.net/board/